Toilet for thoughts

ส้วมความคิด by วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

ชิ้นสุดท้าย

catalyst 23

นี่คิองานชิ้นสุดท้ายแล้วครับ ก่อนที่จะหยุดเขียนไปอีกหลายๆปี ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาตลอดนะครับ ขอบคุณจริงๆ (แต่ถ้ามีอย่างอื่นก็จะเอามา post เรื่อยๆนะ)

ละออง

หน้าที่ของพวกเราคืออะไร…

แกะสลักถ้อยคำ ร้อยเรียงทำนอง…
…แปรเปลี่ยนป็นยุคสมัย
เปิดดวงตา มองโลกกว้าง… แทนผู้คนนับล้าน
หลับตา สร้าง นิมิตรภาพ
… ของสิ่งที่โลก ควรจะเป็น

เราคือศิลปิน…

เราคือผู้คน

เราคือตัวคุณ


มันเริ่มจากการหลับตา
เราหลับตาและตื่นขึ้นมา สิ่งต่างๆรอบตัวแลดูเปลี่ยนไป ราวกับว่าเรื่องราวและวงจรที่จำเจในชีวิตประจำวันพร้อมใจกันหยุดอยู่กับที่ หยุดเพื่อให้เรามองดูพวกมันชัดๆอีกครั้ง
ละอองความคิดของความเป็นปัจจุบัน แผ่กระจายออกมาช้าๆจากสิ่งที่ไม่เคยบอกอะไรเรา ละอองที่เจือจางไร้รูป หากแต่มิได้ไร้ความหมาย เป็นดั่งเพชรในหินที่รอการเจียระไน
ฤดูกาล ลมหายใจ ท้องฟ้า ราตรี สวนหน้าบ้าน รอยช้ำใต้ขอบตา…
…แม้เคยผ่านมาแล้วนับร้อยครั้ง อาจเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง …
เริ่มจากเราหลับตา


และพวกเราก็จะเริ่มเก็บเกี่ยว
…ความน่าสนใจมันอยู่ที่ตรงนี้
อะไรกัน ที่ทำให้บางคนเห็นบรรยากาศเป็นสี บางคนได้ยินความรู้สึกเป็นเสียง บางคนจดจำท่าทางเพื่อที่จะกลายเป็นคนอื่น หรือว่าบางคนเห็นจุดที่ควรไปตั้งดวงตาส่องสรรพสิ่งในมุมที่มันควรถูกมอง
ศิลปินทุกคนดูเหมือนเป็นผลผลิตของจักรวาลที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างกันออกไป
แต่ขณะเดียวกัน ความเป็นศิลปินก็ไม่ใช่สิ่งที่แบ่งแยกให้เราแต่ละคนพิเศษกว่าใครๆ
มนุษย์ทุกคน.. ย่อมรู้สึกต่อสรรพสิ่งในทางใดทางหนึ่ง
ศิลปินก็เป็นแค่คนที่มีโอกาส

มีโอกาสบอกโลกให้รู้ถึงความรู้สึกของเรา

ความรู้สึก…
ความรู้สึกที่บ้างก็ตื้นเขิน บ้างก็ลึกซึ้ง
แต่ล้วนแล้วเลือนราง พร่ามัว


พวกเราไม่รู้ว่าเราได้เครื่องมือเหล่านี้มาจากที่ไหน
เครื่องมือที่ใช้ในการเจียระนัย เก็บเกี่ยวละอองแห่งยุคสมัยที่กระจัดกระจายอยู่ มาหลอมรวมเป็นเสียง เป็นการเคลื่อนไหว เป็นเรื่องราวหรือรูปภาพ เป็นถ้อยคำหรือท่าทาง
และเราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเราที่ถูกเลือกให้ทำหน้าที่นี้
แน่นอนว่าหลายๆอย่างย่อมมาจากการฝึกฝน คงไม่มีใครที่วิ่งได้โดยไม่เคยเดิน
แต่อะไรเล่า คือสิ่งที่บันดาลใจเรา ให้เราเลือกเดินไปในทางของเราตั้งแต่ตอนแรก

มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์…
ในทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ศิลปินไม่เคยหายไปไหน
จากผนังถ้ำจนถึงจอสว่างไสวของเครื่องคอมพิวเตอร์
แรงบันดาลใจ…
ไม่เคยหายไปไหน
พวกเรา… ไม่เคยหายไปไหน

แม้ไนเวลาปัจจุบัน… ช่วงเวลาที่ปัจเจกบุคคลมีเสรีมากกว่ายุคสมัยไหน แต่คนแต่ละคนกลับมีความหมายน้อยนิด เป็นได้เพียงแค่ฟันเฟืองของกาลเวลา
เรา… ก็ยังคงดำรงอยู่ …ในจำนวนที่มหาศาล

เราพูดกันมากขึ้น… แม้ว่าความหมายของคำแต่ละคำจะลดลง
เราแสดงออก… แม้ว่าหลายๆครั้งจะไม่มีผู้ชม
เราได้รับ สร้างและส่งต่อแรงบันดาลใจ ออกไปด้วยความรวดเร็ว

มันจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์…
ที่เราได้ช่วยกันสร้างยุคสมัยที่คนทุกคนมีสิทธิจะบอกให้โลกรู้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร
ยุคสมัยซึ่ง… ในอนาคต หากเราลองมองย้อนกลับมา และพยายามหาคำจำกัดความของช่วงเวลานี้
จะไม่มีกวี นักแสดง นักดนตรี หรือนักวาดภาพคนไหน ที่ถูกยกเอามาเป็นตัวแทนของคนรุ่นเรา
เพราะว่านี้คือยุคสมัยแห่งความแตกต่าง ที่พวกเราทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมา
ยุคที่เรา บอกโลกด้วยตัวเอง ว่าเราเป็นใคร

มันอาจจะยาก ที่จะโดดเด่น ในช่วงเวลานี้
แต่กลับกลายเป็นเรื่องง่าย ที่จะแตกต่าง
อาจเนิ่นนาน หากจะเก่งกาจ แต่กลับรวดเร็ว ที่จะเรียนรู้
เราคือศิลปิน… เราคือผู้คน… เราคือตัวคน
เราเป็น… เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ตลอดเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มีบางอย่างบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือ
ละอองอันคละคลุ้ง
…ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ช่วยเจียระไน
และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ผมได้มีโอกาสบอกโลกว่าผมรู้สึกอย่างไร
อาจไม่มีผู้รับฟังมากนัก แต่อย่างน้อยก็พอมี
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงขอบคุณ

…และเมื่อเวลาล่วงเลยไป เมื่อผู้คนเริ่มหันมาข้างหลัง
ผมก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของละอองแห่งยุคสมัย
ดังเช่นที่พวกคุณทุกคนเป็น
และด้วยเหตุนั้น
ผมดีใจ…

แถมด้วย MV ตัวใหม่ Stardust:ละอองดาว โดย Rhashomon


October 8, 2009 Posted by | Uncategorized | , , , , , , , | 23 Comments

อุนของอุนอุน

Catalyst 22

อุนของอุนอุน

ในอุนจิก้อนนั้นมีบทเรียนที่สำคัญอยู่…

มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อผมได้เจอเจ้าสองตัวนี้เป็นครั้งแรก…

…เรและอุนอุนได้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับผมเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

เรเป็นสาวน้อยตาสีฟ้าหน้าตาบ้านนอก ขนสั้นสีเทาอ่อน รูปร่างปราดเปรียว เอวคอด หลังตรง ลิ้นยาวเฟื้อย เป็นหมาที่ติดคนกับไฮเปอร์เป็นอย่างมาก และวิ่งเร็วอย่างกับเปรตตุรกี

ขณะที่เจ้าอุนอุน (ตอนแรกจะให้ชื่ออุนจิ แต่โดนช้าวบ้านคัดค้าน) เป็นเด็กชายตัวป้อม ขนสีดำยาวเฟื้อย ตาดำใหญ่จนแทบไม่เห็นตาขาว อ้วนพีเหมือนหมีแพนด้าซะมากกว่าหมา เป็นเด็กเก็บตัวไม่ค่อยสนใจชาวบ้าน และเคลื่อนไหวเชื่องช้าชนิดที่วิ่งแข่งกับยายผมคุณยายคงจะชนะ

แม้ทั้งคู่จะหน้าตาไม่ค่อยเหมือนหมาพันธ์ุเดียวกันเท่าไหร่นัก แต่จริงๆแล้วก็เป็นหมาพันธ์ุไซบีเรียนฮัสกี้ที่มีชาติตระกูลรุ่นช่องเหมือนกัน

และทั้งคู่…

เป็นหมา “ของผม”

…บทสนทนาเกี่ยวกับการเอาหมามาเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นก่อนวันที่ผมจะเจอพวกมันจริงๆอยู่ประมาณสี่ห้าเดือน

ก่อนหน้านั้น เมื่อปีที่แล้ว เจ้าบั๊ก (ชื่อจริง: บาคีนิคุส) หมาอัลเซเชี่ยนตัวยักษ์ที่อยู่เป็นเพื่อนกับผมมายาวนานถึง 11 ปี ได้จากไปด้วยโรคแก่ชรา หลังจากต้องทนทุกข์ทรมารอยู่กับการเป็นอัมพาต ลุกไม่ขึ้น กินข้าวกินปลาไม่ได้อยู่ถึงสองเดือน

ตอนนั้น ผมเสียน้ำตาให้กับการจากไปของบั๊กสองสามหยด

…และผมก็ได้ทำเพียงแค่นั้น

ในช่วงก่อนที่บั๊กจะตาย คนที่ดูแลมันส่วนใหญ่ก็คือแม่ของผม (ซึ่งปรกติก็ไม่ได้ชอบหมามากนัก แต่ก็ทำไปด้วยความเมตุตา) และพี่ชายผมผู้ซึ่งรักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ ทั้งคู่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวบั๊กอยู่ทุกวันทุกคืน เพราะว่าตอนนั้นบั๊กเดินไปไหนไม่ได้ เมื่อบั๊กต้องขับถ่าย มันก็จำเป็นต้องปล่อยออกมาตรงที่มันนอนอยู่ ทำให้ทุกครั้งที่บั๊กผลิตแกงกระหรี่ออกมานั้น แม่และพี่ชายผมก็ต้องพามันไปล้างตัว เป่าขนให้แห้ง และหิ้วมันกลับมานอนที่เดิมอีกครั้ง (บั๊กหนัก 40 กิโลฯ) กระบวนการนี้กินเวลาประมาณ 45 นาที และเกิดขึ้นวันละ 4-5  ครั้ง ตัวบั๊กเองก็รู้สึกแย่กับเรื่องนี้อยู่มาก เพราะปรกติบั๊กเป็นหมาที่มีระเบียบวินัยมาก ฟังคำสั่งทุกอย่าง ขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ไม่เคยต้องดุต้องว่า และเมื่อตัวมันเอง กลายเป็นมีสภาพเช่นนั้น แววตาของมันฉายความรู้สึกผิดทุกครั้งที่มันเป็นภาระให้กับพวกเรา แม่และพี่ชายผมเห็นแล้วก็สงสาร ต้องคอยปลอบมันทุกครั้งก่อนที่มันจะหลับไป

“ไม่เป็นไรนะบั๊ก… ไม่เป็นไร…”

…แล้วบั๊กก็จากพวกเราไป

ตัวผมเองนั้น ในช่วงบั้นปลายชีวิตของบั๊กผมงานยุ่งมาก ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่ เมื่อกลับมาบ้าน ผมก็ทักทายบั๊ก และพี่ชายผู้กำลังง่วนอยู่กับการดูแลบั๊กสองสามคำแล้วก็รีบหนีเข้าห้องตัวเอง ทำเพลงทั้งคืน นอนตีสี่ ตื่นเก้าโมงเช้ารีบออกไปทำงาน

ณ ตอนนั้น ผมถามตัวเองว่าผมได้ทำดีกับบั๊กเพียงพอที่จะทำให้ผมไม่ต้องเสียใจย้อนหลังแล้วหรือยัง? เพราะชีวิตผมได้พบเจอกับความตายของผู้คนใกล้ตัวมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตามมาด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจย้อนหลังเสมอ

เสียใจที่ไม่ได้พูดบางคำ เสียใจที่ได้พูดบางคำ

เสียใจที่ได้ทำบางสิ่ง เสียใจที่ไม่ได้ทำบางอย่าง

แต่ดูเหมือนว่าผมไม่ได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนเหล่านั้นเลย และแม้ว่าในครั้งนี้จะต่างจากทุกครั้ง ตรงที่มีสัญญาณที่ค่อนข้างแน่นอนกำลังบอกกับผมว่าสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมมาสิบกว่าปีนั้นกำลังทุกข์ทรมารและกำลังจะจากไป แต่ผมก็ยังคงเลือกที่จะหมกมุ่นกับตัวเอง และเอาข้ออ้างที่เรียกว่างานมาถีบตัวเองออกจากบ้านเสียจนดึกดื่นทุกวัน

วันนี้… วันที่ผมทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมสามารถมาเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้เลือกกระทำไป

แต่วันนั้นผมแค่ร้องไห้…

และมันก็แค่นั้น

เมื่อบั๊กตายไปไม่นาน ผมเป็นคนเริ่มบทสนทนาเกี่ยวกับการหาหมาตัวใหม่มาเลี้ยง

ผมอยากได้หมาพันธุ์ฮัสกี้มานานแล้ว (เพราะหน้าตามันอย่างเดียว) ผมขออนุญาติแม่ผู้เป็นเจ้าของบ้านอยู่นานเหมือนเด็กๆ “จะดูแลให้ดี” อย่างนั้น “จะให้นอนในห้องนอนผมเอง”อย่างนี้ แต่ความจำของแม่เกี่ยวกับห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตบั๊กยังคงสดใหม่อยู่ และเป็นธรรมชาติที่แม่จะต้องสงสัยในตัวผม กังขาว่าสิ่งที่ผมกำลังโฆษณาอยู่เป็นเพียงความอยากชั่วครู่ หรือว่าการผูกมัดที่ตามมาด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งหากถามตัวผมเองในตอนนั้น ผมก็คงจะตอบไม่ได้ ยิ่งแม่เป็นผู้ที่รู้จักเด็กชายในตัวผมมาตลอดทั้งชีวิตผมแล้ว ยิ่งมีเหตุผลให้ไม่มั่นใจมากขึ้นไปอีก

จนสุดท้าย ผมเอาทุกคนในบ้านมาเป็นแรงหนุน ทั้งพี่ชาย และพี่แม่บ้านอีกสองคน ก็ต่างรอคอยการมาของลูกหมาตัวใหม่กันทั้งนั้น แม่เลยใจอ่อน ยอมให้เลี้ยงในที่สุด “ห้ามให้มายุ่งกับต้นไม้แม่นะ!!” แม่กำชับ

และมันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อผมได้เจอเจ้าสองตัวนี้เป็นครั้งแรก…

วันแรกอุนอุนกับเรเข้ามาอยู่ในบ้านผม พวกมันดูตื่นสถานที่อย่างมาก ทุกครั้งที่ผมหรือคนในบ้านเดินออกไปไกลจนพวกมันมองไม่เห็น มันจะเริ่มร้องอิ๋งๆทันที บางครั้งถึงกับมีน้ำตาออกมาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเห็นถึงจะเชื่อว่าหมาก็ร้องไห้ได้

ในคืนแรก ผมให้มันนอนบนพื้นห้องนอนผมซึ่งเป็นห้องแอร์ ผมลูบหัวกล่อมพวกมันไปด้วย และหากผมหยุดเมื่อไหร่ มันจะตื่นและเริ่มดูกังวลทันที

ผมกระซิบเบาๆ บอกทั้งอุนอุนและเรว่า

“ไม่เป็นไรนะ… ไม่เป็นไร…”

วันแล้ววันเล่าที่ผมเฝ้าดูแลพวกมัน จนวันหนึ่ง ความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเข้าใจ อย่างน้อยก็ในช่วงอายุที่เป็นอยู่ แล่นผ่านจิตใจผมไปในขณะที่ผมกำลังค่อยๆกล่อมเด็กๆให้หลับไป

ณ ตอนนี้ ผมกำลังดูแลชีวิตอีกสองชีวิต…

ลองมานึกๆดูแล้ว…

เกิดมาผมไม่เคยต้องดูแลสิ่งใดเลย

อุนอุนและเรเป็นเด็กซนขั้นลิงเรียกพี่ หมีแพนด้าเรียกพ่อ ในช่วงเวลาว่างที่พวกมันไม่ต้องออกไปหาเลี้ยงครอบครัว (ซึ่งก็คือทั้งวันนั่นเอง)พวกมันชอบไล่ปล้ำกันชนข้าวของระเนระนาดไปหมด เลียโซฟาจนเปียกชุ่ม หรือไ่ม่ก็หาโอกาสแอบกระโจนลงแหล่งน้ำหรือบ่อโคลนทุกที่ในบริเวณบ้าน เลอะเทอะจนหน้าตาเหมือนหมาตัวละ 350 บาท (พร้อมกับทำหน้าตาพึงพอใจเป็นอย่างมากตอนที่พวกเราต้องช่วยกันเช็ดตัวและเป่าขนให้มัน) เวลาผ่านเพียงไปสองอาทิตย์มันกัดสายไฟพัดลมขาดไปสามเส้น มู่ลี่เหล็กก็เจ๊งไปหนึ่งแผง โซฟากระเจิงไปหนึ่งตัว ต้นไม้พังอีกนับไม่ถ้วน (ขอโทษนะแม่) และอื่นๆอีกมากมายที่น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะนำมาเผยแพร่ในวรรณกรรมเพื่อเยาวชน

และสิ่งหนึ่งที่กลายมาเป็นกิจวัตรประจำวันของผมกับพี่ชายและพี่แม่บ้านทั้งสองก็คือการไล่เช็ดอุนจิของเจ้าสองตัวนี้ และให้ตายเหอะ แม่งขี้บ่อยฉิบหาย ผมได้ลองมีประสพการณ์มาหมดแล้ว ทั้งกองเล็กกองใหญ่ เหลวหรือแข็ง ดำหรือเขียว บนพื้นหรือบนบันไดหรือแม้กระทั่งบนโซฟา มาวันนี้ผมกล้าประกาศว่าประสพการณ์ด้านขจัดสิ่งปฏิกูลของผมนั้นไม่เป็นรองแม้กระทั่งพนักงานดูดส้วม รุ่นใหญ่ ใจนิ่ง ชนิดที่ว่าจับขี้มือเปล่าแล้วยังกล้าเอามือมาคีบบุหรี่ดูดต่อ

แต่ในความวุ่นวายทั้งหมดนี้ ก็มีเรื่องมหัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง

หรืออย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผม

…ผมกลับรักเจ้าสองตัวนี้มากขึ้นทุกวัน

ทุกครั้งที่มันทำอะไรเลอะเทอะเรี่ยราด ผมตีพวกมัน แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เพื่อสั่งสอน (เสร็จแล้วก็รีบไปลูบหัวง้อ เพราะกลัวหมาเกลียด)

ทุกครั้งที่มีของพังเสียหาย ผมรู้สึกว่าตัวผมเองต้องรับผิดชอบ และมองเป็นความผิดของตัวเองที่ยังอบรมพวกมันไม่ดีพอ

และทุกครั้งที่พวกมันอารมณ์ดี ผมก็มีความสุขไปด้วย

มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับคนเย็นชา ขี้รำคาญและบ้าหลักการอย่างผมเป็นอย่างมาก ผมผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในการตัดเยื่อใยกับทุกสิ่งที่ก่อให้เกิดความรำคาญในชีวิต กลับมาพบว่าตัวเองกำลังยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าตัวผลิตสิ่งปฏิกูลสองตัวนี้อยู่กันอย่างมีความสุข

ผมจึงสังสัย…

ผมสงสัยว่าแม่กับพ่อรู้สึกแบบนี้รึเปล่า…

แม่รู้สึกแบบนี้ไหม ตอนที่ผมยืนเลียทีวี ขี้เรี่ยราด หรือแม้กระทั่งแอบสูบบุหรี่ครั้งแรกในห้องน้ำที่บ้าน

แล้วพ่อล่ะ พ่อโทษตัวเองทุกครั้งหรือเปล่าที่ผมทำอะไรผิดพลาด

มันคือความรักในรูปแบบที่ผมไม่เคยเข้าใจ และไม่เคยคิดว่าจะเข้าใจ หรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะเข้าใจผ่านทางการเช็ดอุนจิอยู่ทั้งวันทั้งคืนแบบนี้

มันเป็นความปิติและความภาคภูมิใจที่แปลกประหลาด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมรู้สึกเติบโตขึ้นอีกขั้นใหญ่

การให้โดยไม่หวังอะไร… ผมเองก็เหมือนหลายๆคน เคยได้ยินคำพูดสวยหรูประโยคนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ลองทำดูจริงๆเสียที

ความสุขใจ… คือสิ่งเดียวที่ตามมา

มาวันนี้ ลองมองย้อนกลับไปดูเรื่องราวของบั๊ก ลองดูผู้คนมากมายที่จางหายไปจากชีวิตผมทีละคนทีละคน

ภาพจางๆของผู้คนเหล่านั้น แลดูสูงส่ง ดูสวยงาม…

สวยงาม… ตามความทรงจำที่ผมเลือกที่จะเก็บไว้

และบางครั้ง มันก็เลิศเลอมากเกินไป

เพราะสิ่งที่หลงเหลือนั้นมักสวยงามกว่าสิ่งที่เคยเป็นจริง จนบางครั้งทำให้เราลืมเลือน…

ลืมไป นึกว่าการเก็บพวกเขาไว้ในที่สูง หลังจากที่พวกเขาจากเราไปนั้น เพียงพอแล้ว

ตัวผมเองก็เคยถามตัวเองทุกครั้งที่ร้องไห้กับการลาจาก

สงสัยว่าน้ำตาที่ไหล ไหลเพื่อคนที่จากลา หรือไหลเพื่อให้สามารถมองหน้าตัวเองได้ในวันถัดไป

แต่มาวันนี้ ด้วยสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากอุนของอุนอุนและเร

ผมหวังว่าผมคงไม่ต้องถามคำถามนั้นอีก

…ตลอดไป

อุนอุน

อุนอุน

เร

เร
บั๊กกี้
บั๊กกี้

September 7, 2009 Posted by | Catalyst | , , | 17 Comments

ของฟรี

Catalyst 21

ฟรี

ของฟรีมักมีที่มาแบบแปลกๆ…

บางครั้งก็เพื่อแลกกับความรักความใคร่  บางครั้งก็เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ และบางครั้งมันก็ไม่ได้ฟรีซะทีเดียว เพียงแค่ราคาที่เราจ่ายมันไม่ได้่ถูกวัดค่าด้วยสตางค์ก็เท่านั้นเอง

ตัวผมเองได้ของฟรีเสมอๆ …

…ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไม

โทรศัพท์ iphone ที่ใช้อยู่… : งานเปิดตัว iphone ของ tru เมื่อปลายปี 2551 ไปในฐานะ “เซเล็บ” ไม่ค่อยแน่ใจว่าคำว่าเซเล็บในยุคสมัยนี้มันแปลว่าอะไรเหมือนกัน ไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่ว่าไอคนที่มีคนรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างอย่างเรานี่มันไปแล้วจะช่วยเพิ่มยอดขายอะไรของเขาได้บ้าง (และก็ไปแค่ให้เค้าถ่ายรูปสองสามรูปเอง) แต่สุดท้ายก็อยากได้ของฟรี สุดท้ายก็ไป โดยพยายามปลอบตัวเองด้วยเหตุผลที่ปกติไม่ค่อยยอมใช้เท่าไร …“คนอื่นเขาก็คงจะไปกัน”

ชุดสูทราคาเหยียบหมื่น… : ได้จากค่ายเพลง เอาไว้ใช้เพื่อใส่ขึ้นเวที …ฟังดูก็สมเหตุสมผลดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันต้องราคาแพงขนาดนี้รึเปล่า แล้วการใส่ของแพงขนาดนี้โดยไม่ได้ซื้อเองมันถือว่าฟุ่มเฟือยมั๊ย แล้วจากนี้ไปจะสามารถวิจารณ์คนซื้อของแบรนด์เนมได้หรือเปล่า เพราะเราเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหากับมันตราบใดที่ไม่ต้องจ่ายตังค์เอง…

ค่าจ้างพิธีกร : ไม่ได้ฟรีซะทีเดียว แต่บางครั้งก็สงสัยว่ามันมากไปหรือเปล่า บางงานแค่สองสามชั่วโมงก็ได้มาสามสี่หมื่น มากกว่าหลายๆคนทำงานทั้งเดือน …รู้สึกว่าตัวเองทำงานจริงๆแค่สองสามพัน ที่เหลือเป็นโบนัสได้มาฟรีๆ แล้วถ้ามันจริงว่าเราได้เงินเยอะเกินไปแล้วเราจำเป็นจะต้องรู้สึกผิดไหม ถ้าความผิดของค่าจ้างเกินตัวนี้มีจริงๆแล้วมันคืออะไร… แล้วถ้าขอลดค่าตัวแล้วเราจะสามารถปล่อยวางไม่ให้รู้สึก “ถูกเอาเปรียบ” ได้รึเปล่า…

คอมพิวเตอร์… รถ… ตั๋วเครื่องบิน… และอื่นๆอีกมากมาย

…“ฟรี”

ทุกครั้งที่ผมได้อะไรมาฟรีๆ ไม่ว่าจะจากคนที่ไม่รู้จัก จากบริษัทต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากพ่อแม่หรือว่าญาติสนิท ผมมักจะจดบันทึกความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นๆไว้ในหัวสมองเสมอ

โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำถาม…

คำถามที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพยายามสร้าง “ความชอบธรรม” ให้กับการน้อมรับสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ค่อยได้ผลนัก …แต่ขณะเดียวกัน ความล้มเหลวในการสร้างความชอบธรรมนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องนำไปสู่ความรู้สึก “ไม่ชอบธรรม” เสมอไป และ “ความรู้สึกผิด” ก็เป็นสิ่งที่ตามมาบ้าง แค่ในบางครั้ง แต่ก็ไม่บ่อยนัก

แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวแปรคงที่

ตัวแปรที่เป็นการแปรรูปคำตอบของคำถามทั้งหมดให้กลายเป็นคำถามอีกครั้ง

ทำไมถึงต้องเป็นผม….?

โอเค ผมเป็นนักเขียนที่มีคนรู้จักอยู่บ้าง เป็นพิธีกรที่พอจะเป็นงานบ้าง เป็นนักดนตรีที่ผลงานยังใหม่ต่อหูคนฟังอยู่มากๆ และเป็น “เซเล็บ” ที่หากเทียบให้พอลล่าหรือพี่เบิร์ดที่มีคนรู้จักอยู่ในระดับสิบ ผมก็คงจะอยู่แค่ 3หรือ4เท่านั้น

สิ่งที่ตัวผมเอง เป็นหรือทำ ใช้อธิบายความมีอภิสิทธิ์ของผมได้กึ่งหนึ่ง แต่มันก็ไม่น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ผมได้รับการเอาใจจากโลกหล้านภาลัยมากมายถึงเพียงนี้

อ๊ะ! แต่เดี๋ยวก่อน ผมลืมอะไรไปรึเปล่า

ผมเป็นลูกใคร พ่อแม่ของผมเป็นลูกใคร เมื่อตอนผมเกิดมาพ่อแม่ผมมีเงินเท่าไหร่ ระดับIQของพ่อแม่และพี่ชายผมสูงแค่ไหน เหตุการณ์ 14 ตุลาเกิดเมื่อปีอะไร แม่ของผมซื้อรถรุ่นอะไร ผมป็นลูกคนที่เท่าไหร่ แม่เรียนปริญญาเอกตอนไหน บ้านผมอยู่ที่ไหน พ่อผมเคยเป็นเด็กวัดตอนอายุเท่าไหร่ พ่อแม่ผมย้ายมาจากต่างจังหวัดเมื่อตอนผมอายุเท่าไหร่ ฯลฯ

…คำตอบต่อคำถามทั้งหมดนี้ ได้กลายมาเป็นโทรศัพท์ iphone ที่ผมพกอยู่ทุกวันนี้

ในสายตาของสังคม ผมเหมือนเป็นคนหนุ่มมีความสามารถที่ประสพความสำเร็จ…

และมันคงจะเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบาย หากเราจะมองว่าความสำเร็จและสถานะของคนๆหนึ่งเป็นผลลัพธ์จากความพยายามของคนผู้นั้นแต่เพียงผู้เดียว วิธีคิดเช่นนั้นทำให้เราสามารถสร้างวีรบุรุษของสังคมได้สะดวก สามารถกำหนดกฎเกณฑ์แห่งความสำเร็จได้ตายตัว และสามารถเอาความพยายามของมนุษย์มาวางลงตรงที่ศูนย์กลางแห่งจักรวาลได้

แต่หากเราลองใช้เวลาดูไม่นาน เราก็คงจะพอมองออกว่าการมองสรรพสิ่งในวิถีทางนั้น มันช่างตื้นเขินและหลงตัวเองสิ้นดี

ในเวลาหนึ่งวัน มีสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรามากกว่าสิ่งที่เราควบคุมได้อยู่มากมาย

และหากแก่นแท้แห่งวิญญาณของมนุษย์ ใช้เวลาเป็นหมื่นวันในการก่อตัวแล้ว เราจะมาบอกว่าสิ่งที่เราเป็นนั้น เกิดขึ้นเพียงเพราะตัวเราเองได้อย่างไร

เมื่อผมพยายามที่จะเข้าใจตัวเองด้วยวิธีนี้ ผมได้เขียนข้อสรุปบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ

เมื่อตอนเกิดเหคุการณ์ 14 ตุลา พ่อผมเผอิญอายุมากกว่านักศึกษาคนอื่นอยู่หลายปี จึงถูกมองเป็นผู้นำมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์วิกฤตทางการเมือง… แม่ผมเผอิญเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยในปีที่เกิดเหตุ หากแม่เกิดช้าไปอีกปี โอกาสที่พ่อกับแม่จะเจอกันก็คงน้อยลงมากกว่าครึ่ง… กระสุนที่ทหารยิงมาเผอิญแฉลบผ่านจุดตายพ่อไปสองนิ้ว… แม่เผอิญเกิดมาในครอบครัวชาวจีนขนาดใหญ่ที่ให้คุณค่าต่อความสัมพันธ์มากกว่าเกียรติยศ… พ่อเผอิญเกิดมากับครอบครัวคนจนที่บังคับให้พ่อต้องยืนหยัดและรักษาศักดิ์ศรีมาตลอดชีวิต… พ่อกับแม่เผอิญมองไม่เห็นความแตกต่างนี้เมื่อเริ่มต้น จึงเผอิญต้องมาหย่าร้างกันเมื่อเวลาผ่านไปอีกยี่สิบกวาปี… พ่อแม่เผอิญเกิดผมออกมาหลังพี่่ชาย และพี่ชายเผอิญเป็นคนเก่งวิทย์ฯและได้เหรียญชีวะโอลิมปิคมาเมื่อปีเดียวกับที่ผมเผอิญจับฉลากบ้านใกล้ได้เข้าไปโรงเรียนเดียวกับพี่… ผมเผอิญจับฉลากได้ไปอยู่ห้องเด็กเกเร… และผมเผอิญเรียนช้าไปปีหนึ่งเพราะต้องซ้ำชั้นเมื่อย้ายบ้านมากรุงเทพฯสมัยอนุบาล… แม่เผอิญไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกาเมื่อตอนผมเริ่มเข้าเรียนมหาลัยฯ และได้ท้ิงรถไว้ให้ผมขับ… เมื่อปีแรกในหมาวิทยาลัยผมเผอิญเมาแล้วขับรถคว่ำ แต่ไม่คอหักตายเพราะรถแม่เป็นรถที่มีหลังคาสูงมาก…

ผมจึงเผอิญมีชีวิตต่อมา…

…เพื่อที่จะเผอิญถูกเชิญไปงานเปิดตัว iphone และได้โทรศัพท์แพงๆมาฟรีๆ

มหากาพย์ของเหตุการณ์บังเอิญ โอกาส และการกระทำของผู้อื่น ได้กำหนดสัดส่วนมหาศาลของสิ่งที่ผมได้รับและสิ่งที่ผมเป็น

หากพ่อแม่ผมไม่ได้บังเอิญได้เป็นผู้นำนักศึกษา ผมก็คงจะไม่ได้เขียนหนังสือ และถึงเขียนก็คงจะไม่มีใครอ่าน

หากพี่ชายผมเป็นแค่เด็กธรรมดาที่ไม่ได้ฉลาดเฉลียวอะไร ผมในสมัยวัยรุ่นก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนเพื่อพิสูจน์อะไร และสุดท้ายการเขียนหนังสือก็คงจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

และหากว่าหลังคาของรถแม่ต่ำกว่านี้อีกสักสองสามนิ้ว ผมก็คงจะคอหักตายไปเมื่อตอนอายุ 18 ปี

…และก็คงจะไม่ได้มาเขียนหนังสืออยู่จนทุกวันนี้

และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย

…ที่เผอิญเกิดขึ้นมา

ผมเป็นคนที่เกิดมาโชคดีอย่างมหาศาล

มันเป็นเวลานานที่เดียว ที่ผมปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไป ก่อนที่ผมจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้

และหากจะมีใครใจดี มาเถียงแทนผมว่า สิ่งที่คนอื่นมองว่าผมเป็นอยู่ในตอนนี้ มันเกิดขึ้นจากความพยายามและการกระทำของตัวผมเองเกินกว่าครึ่ง

ผมก็ตอบกลับไปว่า นั่นเป็นเพราะโลกให้โอกาสผมได้พยายามต่างหาก…

มันเป็นเรื่องหน้าแปลก ที่สังคมนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้รางวัลคนที่โชคดีซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างผม ให้ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนเด็กๆ ผมเรียนช้าไปหนึ่งปี จึงได้เปรียบเด็กคนอื่นในชั้นอนุบาล และเมื่อเป็นเด็กเรียนดี ก็เลยถูกอาจารย์คนต่อๆไปเอาใจใส่เป็นพิเศษ และทำให้ได้รับการติวมากกว่าคนอื่นๆในชั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชนะคนอื่นๆในเรื่องเรียนมาตลอด

พ่อแม่ผมมีชื่อเสียง ทำให้ผมมีชื่อเสียง และชื่อเสียงนั้นก็ให้โอกาสผมทำในสิ่งต่างๆที่อยากทำ ได้อยู่ในที่ที่อยากอยู่ ทำให้ผมได้มีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก และเพียงเพราะว่าผมเป็นคนมีชื่อเสียง สังคมก็เลือกที่จะให้รางวัลผม  ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบสิ่งของ ค่าจ้างสูง หรือว่าโอกาส  โดยที่“การกระทำ”ของผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในความใจดีของสังคมเท่าไหร่นัก

ทำไมถึงต้องเป็นผม?

ทำไมเราถึงได้เลือกผู้ที่ชนะอยู่แล้วมาสรรเสริญและถนุถนอม

แต่สำหรับผู้ที่เกิดมาโดยไม่มีของฟรีสักอย่าง ก็ยังคงไม่ได้รับของฟรีต่อไป

…จริงๆแล้ว “เรา” เป็นผู้เลือกหรือไม่

หรือนี่เป็นเพียงวิถีทางที่สรรพสิ่งควรจะเป็น

สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของตัวผม..

…ตัวผมเอง ก็เป็นเพียงผู้รับ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากวงจรแห่งโชคชะตานี้

แต่มันจำเป็นหรือไม่ที่ผมจะต้องรู้สึกละอาย ต้องรู้สึกผิด

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมจำเป็นจะต้องฆ่าตัวตายเลยหรือไม่

เพราะ “ตัวตน” ที่ผมใช้และภูมิใจอยู่ทุกวันนี้

…ผมก็ได้มาฟรีเหมือนกัน

(ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ Outliers โดย Malcolm Gladwell)

เพลงออกแล้วนะจ๊ะ

ฟังได้ตามวิทยุทีวีทั่วไป (ถ้าเค้ายอมเปิดนะ)

Single ชื่อ รินดา โดย Rhashomon

Happening Aug 09 Coverเค้าน่าจะเอารุ่นพ่อมาถ่ายด้วยกันด้วยนะ 🙂

August 4, 2009 Posted by | Catalyst | 26 Comments

67 ข้อ

Catalyst 19

 67 ข้อ

 

ข้อสันนิษฐาน

                หลายๆครั้ง เหตุการณ์และเรื่องราวที่อยู่รอบๆตัวเรา มักจะพูดอะไรบางอย่างที่มีความหมายกับเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีความหมายใดๆกับมันก็ตาม

                “โลก” พูดคุยกับคนทุกคน

                แต่ไม่ใช่คนทุกคนที่ได้ยิน

                แต่หากเผอิญได้ยินแล้ว การเอาข้อสังเกตที่ได้มาเรียงต่อๆกัน ก็อาจจะพลอยชักชวนให้คนอื่นลองเงี่ยหูฟังตามไปด้วย

                …ก็เป็นได้

 

                หากเพียงลองเงี่ยหูฟัง…

 

ข้อสังเกตทั่วไป

  1. สิ่งที่เราเป็น ขึ้นอยู่กับว่าเราเกิดกับใคร 70 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ
  2. การมองเวลาเป็นวัตถุเคลื่อนที่ทำให้มนุษย์จดจ่ออยู่กับการก้าวไปข้างหน้า
  3. การตลาดทำให้คนเชื่อว่าเงินซื้ออะไรที่นอกเหนือจากสิ่งของได้
  4. อดีตและอนาคต เป็นความหวาดกลัวที่พวกเราทุกคนล้วนมีร่วมกัน
  5. สุรามีไว้เพื่อลืมว่าก่อนดื่มสุรานั้นเราเป็นใคร
  6. การคาดหวังให้คนอีกคนหนึ่งเปลี่ยนแปลง เป็นต้นเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งปวงล้มเหลว
  7. พลังงานที่คนเราใช้ในการเถียงกันว่าใครคิดถูกนั้น สามารถเอาไปใช้ทำในสิ่งที่แต่่ล่ะฝ่ายคิดว่าถูกให้สำเร็จไปได้หลายรอบ
  8. ความสุข แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่อีกชื่อหนึ่งของความไม่ทุกข์
  9. เหตุผลจะเกิดก่อนการกระทำ และข้ออ้างจะตามมาทีหลัง
  10. การแต่งงานคือการยอมที่จะสูญเสียบางส่วนของตัวเอง เพื่อให้ส่วนที่เหลือสามารถประติดประต่อกับอีกฝ่ายได้พอดี
  11. ความรักถูกมองเป็นสิ่งละเอียดอ่อน หากแต่แท้จริงแล้วคนที่หยาบเลวที่สุดก็ยังรักเป็น
  12. เวลามีคนมารัก เราจะตัวใหญ่ล้นฟ้า แต่เวลาเรารักใคร ตัวเราจะเหลือเล็กนิดเดียว
  13. เมื่อเริ่มต้น นักอุดมการณ์ทุกคนจะกล่าวโทษทุนนิยมเสมอ
  14. “รัฐบาลที่ดี” ไม่น่าจะมีจริง หรือหากมีก็ไม่น่าจะหมายถึงรัฐบาลที่เกิดจากการรวมตัวกันของคนดี
  15. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีสองประเภท ประเภทที่เรามองเห็น และประเภทที่เรารู้สึกได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะสนใจแค่การเมือง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทที่เรามองเห็นแต่เพียงอย่างดียว
  16. “ชาติ” และ “ศาสนา” เป็นต้นเหตุของสงครามทุกสงคราม
  17. องค์กรสุดขั้วทางการเมือง มักจะดึงดูดผู้คนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง
  18. เมื่อเหตุผลทั้งปวงไม่สามารถใช้อธิบายบางอย่างได้ การใช้ความรู้ก็เป็นสิ่งพึงกระทำ
  19. คนเราเป็นอะไรก็ถือว่ามีศักดิ์ศรีหมด ขอแค่เพียงเป็นของแท้
  20. ผู้ที่วิจารณ์บุคคลอื่นโดยไม่แสดงตัวนั้น ความจริงสมควรจะเป็นผู้ถูกวิจารณ์เสียเอง
  21. เราทุกคนสามารถเปลี่ยนโลกของคนอีกคนได้เสมอ
  22. พ่อแม่ที่รักลูกมากที่สุด คือพ่อแม่ที่ปล่อยให้ลูกหัดเดินเอง
  23. ความล้มเหลวเป็นตัวแปรคงที่ของการเริ่มต้น
  24. คนที่พยายามตลกอยู่ตลอดเวลา มักจะเป็นคนที่ไม่เคยขุดหาความรู้สึกที่อยู่ภายในของตัวเอง
  25. ความฟุ้งซ่านและล่องลอยเป็นโรคระบาดแห่งยุคสมัย ทั้งๆที่เราอยู่ในยุคที่ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งต่างๆให้เราทำตลอดเวลา
  26. ความหวาดกลัวที่จะเด็ดเดี่ยว เป็นต้นตอของความโดดเดี่ยวในฝูงชน
  27. พระเจ้าเป็นมโนภาพที่เปลี่ยนให้คนทุกคนกลายเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้
  28. ครอบครัวมักจะมีคุณค่ามากขึ้นเมื่ออยู่ห่างไกลกัน
  29. ในการทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัว จะมีฝ่ายหนึ่งที่กำลังทะเลาะ และอีกฝ่ายที่แค่พยายามสื่อสารกับฝ่ายตรงข้าม
  30. การทำดีเพื่อสนองความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อผลลัพธ์นั้น เป็นแค่ความเห็นแก่ตัวรูปแบบหนึ่ง
  31. คนเราแต่ล่ะคนเดินสวนกันบนจุดเดียวกันในท้องถนน แต่สิ่งที่เราเห็นนั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
  32. ความคิดเห็นต่อตัวเราที่สำคัญที่สุดก็คืออันที่เป็นของเราเอง
  33. มองตัวเองให้ใหญ่พอ เพื่อให้เชื่อมั่นว่าเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ และให้เล็กพอ เพื่อให้รู้ว่าเราไม่ได้วิเศษอยู่เหนือคนอื่น
  34. ข้อคิดหรือคำพูดของผู้มีชื่อเสียง หากว่าเราเห็นด้วยกับมันแล้ว เรามักจะปฏิบัติต่อมันเหมือนข้อเท็จจริงมากกว่าความคิดเห็น
  35. เราไม่ได้เห็นสรรพสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น แต่เราเห็นมันตามสิ่งที่เราเป็น
  36. ผู้บรรลุธรรมที่แท้จริง มักจะไม่ยกมาตราหรือตัวเลขใดๆในหลักธรรมมาอ้าง
  37. “ความแน่นอน” ในจิตใจ เป็นสินทรัพย์ที่ล้ำค่า แต่ก็เป็นตัวกำเนิดอัตตาที่อันตราย
  38. การด่าทอผู้มีอำนาจ มักจะทำให้ได้เสียงชื่นชมตามมามากว่าการเอาตนออกไปแก้ปัญหาที่ผู้มีอำนาจไม่สามารถแก้ได้
  39. ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นยากที่ลอกเลียน
  40. อุดมการณ์ที่ตายตัว เป็นเพียงเครื่องมือให้คนที่เกียจคร้านในเชิงความคิดได้รู้สึกดีกับตัวเอง
  41. เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ความรู้สึกเดียวดายนั้นกลับกลายเป็นตัวแปรเดียวที่เชื่อมโยงเราทุกคนเข้าหากัน
  42. การถ่อมตัวมากเกินไป บางครั้งก็เป็นการปล่อยโอกาสที่เราจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นให้หลุดลอยไป
  43. ความทุกข์จะเพิ่มขึ้นตาม “การคาดหวัง” และความสุขจะเพิ่มขึ้นตาม “การยอมรับ”
  44. เราแก่ขึ้นทุกครั้ง เมื่อสิ่งที่ทำให้เรายิ้มหายไปจากโลกนี้อีกหนึ่งสิ่ง
  45. “ความดี” เป็นเรื่องส่วนตัว และไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ หรือว่าไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นความดีของผู้อื่น

 

ข้อสังเกตส่วนตัว

 

  1. คำพูดสรรเสริญของคนอื่นจะเป็นยาพิษต่อจิตใจ หากว่าลึกๆแล้ว เรารู้ตัวว่าเราไม่สมควรได้คำชมเหล่านั้น
  2. การดูแลคนจริงๆที่อยู่ข้างๆตัวเรานั้น ยากเย็นกว่าการดูแล “อุดมการณ์” หรือว่า “ประชาชน” อยู่มาก
  3. อย่าพยายามพูดในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ อย่าไปช่วยเหลือคนที่เราไม่เข้าใจ และ อย่าทิ้งให้ความไม่เข้าใจเหล่านั้นให้หมกตัวอยู่โดยไม่ได้รับการบรรเทา
  4. ไม่มีลูกคนไหนที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่ ไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีเงาของบุพการีมากเท่าไหร่ก็ตาม
  5. การเขียนหนังสือทำให้ได้เจอสิ่งที่ไม่รู้มาก่อนว่าอยู่ในหัวสมองเรา
  6. บทความหนึ่งชิ้นใช้เวลาเขียนสิบชั่วโมง แต่ใช้เวลาในการรวบรวมวัตถุดิบยี่สิบกว่าปี
  7. เพลงหนึ่งอัลบั้มใช้เวลาทำปีครึ่ง เพลงหนึ่งเดือนครึ่ง เนื้อเพลงหนึ่งวรรคใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง และวันหน่ึงควรมีเวลาฝึกเล่นอย่างน้อยสามชั่วโมงครึ่ง ส่วนคนดาวน์โหลดเพลงใช้เวลาโหลดครึ่งชั่วโมง และฟังอีกครึ่งชั่วโมง 
  8. คนหลงตัวเองจะไม่ยอมให้อภัยตัวเอง เพราะเขามองตัวเองว่าไม่สามารถผิดพลาดเหมือนกับคนอื่นๆได้
  9. การไปประกวด 50 หนุ่ม cleo เพื่อโปรโมตเพลงวงตัวเอง สำหรับบางคนก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิดมากอะไร แต่สำหรับบางคน มันก็เป็นประเด็นใหญ่ในชีวิตที่นำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับความจริงแท้ของจิตวิญญาณของตน
  10. ความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่กับความจำเป็นในการขับถ่ายนั้นมีหลักฐานสนับสนุนอยู่มากพอสมควร
  11. ทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ จะจบลงด้วยการให้ฝากอะไรถึงวัยรุ่น แม้ว่าจะฝากไปสิบกว่าอย่างแล้วก็ตามในคำถามก่อนหน้า
  12. การพูดถึงสิ่งที่ตัวเองมีแล้วบวกจำนวนเข้าไปอีกหนึ่งเสมอนั้น แสดงถึงอาการที่ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีในทุกๆทาง ต้องหาทางแก้ไขโดยเร็ว(เช่นได้เกรด 3.7 ก็บอกว่า 3.8 , หนังสือได้พิมพ์ 4 ครั้งก็บอกว่า 5 ครั้ง เป็นต้น)

 

ข้อสังเกตไร้สาระ

  1. แฟชั่นเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนมีหน้าตาเหมือนกัน
  2. คนเราส่วนใหญ่มักจะร้องเพลงที่ตัวเองด่าว่าปัญญาอ่อนได้เกือบทั้งเพลง
  3. คนไทยบ้าเกาหลี แต่คนเกาหลีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองไทยเลย
  4. ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่พอใจในรูปถ่ายของตัวเอง
  5. ผู้ชายยอมรับในสรีระที่ไม่สมบูรณ์แบบของผู้หญิงได้มากกว่าที่ผู้หญิงเข้าใจอยู่เยอะ  
  6. คนไทยรักสุขภาพมาก เพราะว่าเราเซ็นเซอร์คนดูดบุหรี่ในทีวี แต่ยอมให้ผู้หญิงมาตบแย่งผัวกันหลังข่าวทุกคืน
  7. หมามักจะกระโดดเข้าร่วมเพศกับท่อนขาของคนที่ตัวเล็กมากกว่าของคนตัวใหญ่
  8. ศิลปินไทยมักจะทำอะไรออกมาคล้ายๆกัน เพราะกลัวตลาดรับไม่ได้ แต่ก็น่าแปลก ที่ในหมู่เพลงที่คล้ายๆกันนั้น สุดท้ายก็ไม่มีใครดังสักคน
  9. ดาราไทยหน้าใหม่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ในอัตตราเฉลี่ยวันละสามคน
  10. ผู้ชายในทุกวัฒนธรรมในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมชอบเอาความเป็นเกย์มาล้อเลียนกัน

 

ข้อสรุป

  • การตั้งข้อสังเกตุต่างๆจะนำไปสู่การไม่เห็นด้วย
  • คุณจะทะเลาะกับผมอยู่ในหัว
  • และท้ายที่สุด เราทั้งคู่ก็จะฉลาดขึ้น

June 7, 2009 Posted by | Catalyst | 24 Comments

เพลง Too long : Rhashomon

เพลง too long โดย Rhashomon (ราโฌมอน)

ฟังได้ที่นี่ 

เมื่อตอนวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมเฝ้าดูบ้านเมืองของเราแล้วก็เศร้าใจ ดูข่าวไปก็แทบจะร้องไห้

แต่สุดท้ายพอถามตัวเองว่า “จะช่วยอะไรได้บ้าง” ก็ไม่รู้คำตอบ
สุดท้ายก็ได้แต่ช่วยกับเพื่อนๆในวง Rhashomon (ราโฌมอน) ของผม (สิงห์ สิน และฟ้า) ทำเพลงนี้ขึ้นมา

และหลังจากที่ได้รับ ฟอร์เวิร์ดเมล “&” มา ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจที่จะช่วยส่งข้อความนี้ออกไปในรูปแบบที่ตัวเองจะทำได้ เพื่อว่าอย่างน้อยเราก็สามารถบอกสังคมได้ว่าเรารู้สึกอย่างไร (หากใครยังไม่ได้อ่านเมลนั้นก็อ่านที่แปะมาข่างล่างนี้แล้วกัน)

เลยได้ทำ clip video นี้ออกมา เพราะว่าอยากให้ทุกคนได้ฟัง และเพื่อสนับสนุน campaign online “&” ครับ

“&” สิงห์ Rhashomon
(วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล)

ถ้าชอบก็ขอร้องว่าช่วยๆกันก็ทำเป็น forward mail ส่งๆกันไปหน่อยนะครับ ขอบคุณมาก

ฟังเพลงเราเพลงอื่นได้ที่ http://www.myspace.com/rhashomonband

หรือถ้าชอบเพลงนี้ โหลดฟรีได้ที่ link นี้นะ : http://cid-cfb1db0bac004630.skydrive.live.com/self.aspx/Public/Too%20long.mp3

 

Forward Mail: “&”


“&”


คุณมีความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า?

“อยากช่วย… แต่ทำไงฟะ”

&

“เซ็งเป็ด”

&


” แค่อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม”

&

” อยากเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน โดยที่ไม่ต้องคิดเหมือนกันก็ได้ 

&

“เมืองไทยที่กรูโตขึ้นมาตอนเด็กๆมันหายไปไหนเนี่ย”

   &

“ประเทศไทยมา D.I.Y. กันดีกว่า

&

“ฯลฯ”


…คำถามก็คือ

คุณรู้ตัวไหมว่ามีคนที่คิดแบบเดียวกันนี้ในสังคมไทยเยอะมาก?

และคำถามที่สำคัญกว่า…


ทำไมพวกเราถึงรวมพลังกันไม่ได้เลย?

 

“&”


“บ้านเราเป็นของใคร” 


นักการเมือง & เศรษฐี  & ฝ่ายโน่นนี่ 

 


& เด็กชายดำ

 & ป้าแห้ว

& นายหนุ่ย


&

“เรา”

&

“คุณ”


มาร่วมกันแสดงความเป็นเจ้าของสังคมด้วยการเอาเครื่องหมาย “&” ไปเป็นของคุณ


เพียงเปลี่ยนชื่อ หรือ status ใน

msn, google talk, hi5, facebook, myspace, webboard username,

post ใน blog, หรือ ฯลฯ

 

(ดูตัวอย่างได้ใน facebook, hi5 และ MSN ได้จากรูปที่แนบมากับเมล) 


e0b895e0b8b1e0b8a7e0b8ade0b8a2e0b988e0b8b2e0b887e0b882e0b989e0b8ade0b884e0b8a7e0b8b2e0b8a1e0b983e0b899-msn

e0b895e0b8b1e0b8a7e0b8ade0b8a2e0b988e0b8b2e0b887e0b983e0b899-facebook

e0b895e0b8b1e0b8a7e0b8ade0b8a2e0b988e0b8b2e0b887e0b983e0b899-hi5


 

     

&” ไม่ใช่ของกลุ่มใด แต่เป็นของเราทุกคน 

&” เป็น “เพียงเครื่องมือ” ที่จะช่วยให้เราทุกคนที่มีความรู้สึกเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้คิดเหมือนกัน สามารถอยู่ร่วมกันและสามารถบอกสังคมให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราได้

 

และหากคุณเริ่มใช้ ตอนนี้ อีกไม่นานคุณก็จะพบว่ารอบตัวมีคุณที่ “รู้สึก” เหมือนกันอยู่อีกมากมาย




หากเห็นด้วย  กรุณาส่งต่อ และนำ “&” ไปเป็นของคุณ



“&”

April 29, 2009 Posted by | Uncategorized | , , , , , , , , , | 20 Comments

เพลงเสร็จเยอะแล้ว

ตอนนี้เพลงเสร็จไปหลายเพลงแล้วครับ ยังไม่ได้เริ่มโปรโมทเลย แต่เข้าไปฟังกันก่อนได้เลยที่

www.myspace.com/rhashomonband

คิดว่าอีกเดือนสองเดือนถึงจะเริ่มมี mv ออกมาให้ได้ดูกัน

ถ้าชอบก็ส่งกันไปต่อๆด้วยเน่อ thank you

อ้อ แล้วก็ขอบคุณคนที่มาเม่ื่อวันเสาร์ด้วยครับ กับเจ้าของช่อดอกไม้ลึกลับด้วย (ใครก็ไม่รู้นิ) งานหน้า วันที่ 25 เมษาที่ central world 14.50 ครับผม

แล้วก็นี่ ปกตอบตามใจ กวนตีนโคตร ชอบมาก

 

cover

 

ไปเซ็นวันที่ วันเสาร์ที่ 4 เม.ย. เวลา 13.00 น. – 14.00 น.

และวันอาทิตย์ที่ 5 เม.ย. เวลา 14.00 น. – 15.00 น.จ้ะ
booth อมรินทร์ เจ้าเก่า

March 30, 2009 Posted by | Music | , , | 31 Comments

เล่น concert วันเสาร์นี้

rock-the-house-31

งานแรกของวงครับ ตื่นเต้นทีเดียว ใครว่างก็มาแล้วกัน เล่นที่ทองหล่อ เพลงยังไม่เริ่มโปรโมทจนกระทั่งเมษาน่ะครับ

March 24, 2009 Posted by | Uncategorized | 7 Comments

Mass morality

ตอบตามใจ ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการแล้วเน่อ ไปเซ็นรวมเล่มวันที่ 4-5 เมษาที่งานหนังสือครับ บู๊ทอมรินทร์ครับผม ใครสนใจก็เชิญ คิดว่าปลายปีเดี๋ยวคงจะได้ออกอีกเล่มครับ

 

Catalyst 16

ศีลธรรมสาธารณะ (Mass Morality)

 

                ความดีนั้นเป็นสิ่งลึกซึ้ง…

                ไม่ใช่เพียงเพราะความดีทำให้ชีวิตของบุคคลเปี่ยมล้นไปด้วยความหมาย ทั้งสำหรับตัวเขาและผู้อื่น

                ไม่ใช่เพียงเพราะความดีนั้นเป็นต้นเหตุความสุขทั้งมวลของมนุษย์ ที่วัตถุจำนวนมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถมาแทนที่ได้

                แต่ความดีนั้นเป็นสิ่งที่แสนลึกซึ้ง

                        เพราะว่าความดี…

…เป็นเรื่องส่วนตัว

 

                หลายศตวรรษในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เราเคยพยายามถกเถียงกันว่าความถูกต้องคืออะไร

                …การให้

                …ความรัก

                …การละทิ้ง

                …หรือการรับใช้บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่

จวบจนปัจจุบัน ข้อสรุปก็ยังคงดูเลือนราง และแม่ว่านานแสนนานเท่าไหร่ เราก็คงจะไม่มีวันได้เห็นมนุษย์ทุกหมู่เหล่าหันมาสร้างข้อตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่าสิ่งที่จะเรียกว่าเป็นความดีได้นั้น จะต้องมีข้อกำหนดเช่นไรบ้าง

ศาสนาต่างๆได้เกิดขึ้น ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแน่ใจได้เองว่าสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นความดีนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องถูกหรือผิด

ความมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง ชอบธรรม และแท้จริง เป็นทรัพย์สินทางจิตวิญญาณที่แสนจะล้ำค่าสำหรับมนุษย์ ไม่มีอะไรจะทำให้เราสุขใจไปได้มากกว่าการค้นพบความหมายของชีวิตผ่านทางการทำ ความดีอีกแล้ว

อุดมการณ์การเมือง ลัทธิชาตินิยม หรือแม้กระทั่งกฎระเบียบในห้องเรียนของเด็กประถม บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็มีบทบาทต่อจิตใจคนในรูปแบบที่ไม่ต่างจากศาสนาไปมากนัก

            เราต่างอ้อนวอนขอเสียงกระซิบเบาๆจากบางสิ่ง…

เสียงที่จะบอกเราว่า ความถูกต้องคืออะไร

เป็นเสียงกระซิบจากบางสิ่งยิ่งใหญ่กว่า…

….มิใช่เสียงจากมนุษย์ผู้อื่น หรือว่าจากสามัญสำนึกของตัวเราเอง  

                ต้นเสียงเหล่านั้นมันไม่เคยดีพอสำหรับเรา…

ความมั่นคงทางศีลธรรม คือสิ่งที่เป็นผลลัพธ์จากเสียงกระซิบเหล่านั้น

สำหรับหลายๆคน สิ่งนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่ต้องปกปักษ์รักษาไว้ยิ่งชีวิต

 

…และในบางครั้ง การต่อสู้ ก็กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

 

 

 

ความดีเป็นเรื่องส่วนตัว

นี่ไม่ใช่สัจพจน์ หรือว่าข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว จะเป็นก็เพียงอีกหนึ่งความคิดเห็นส่วนตัวของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

และหากเราจะตั้งจุดยืน ว่าความคิดนี้เป็นแนวทางเดียวที่ถูกต้อง โต้แย้งไม่ได้ สุดท้ายแล้วประโยคที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากสิ่งอื่นๆที่กำลังจะถูกวิจารณ์หลังจากนี้ไปมากนัก 

                หากแต่เราลองพิจารณาแนวคิดนี้ โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ตรงกันข้ามดู เราอาจจะสามารถเข้าใจ หรือแม้กระทั้งเห็นด้วยกับประโยคประโยคนี้ก็เป็นได้

                เมื่อความดีไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

                เมื่อเริ่มต้น…

                มันจะเริ่มต้นจากคนๆหนึ่งที่สงสัยว่าตัวเองจะสามารถสร้างความหมายให้กับเวลาเล็กๆน้อยๆที่ได้รับมาในโลกใบนี้อย่างไรได้บ้าง เขาจะเริ่มต้นด้วยเรื่องง่ายๆ เฉกเช่นการช่วยเหลือคนรอบๆตัว  วิ่งไปซื้อของให้กับผู้เป็นแม่ หรือไม่ก็ช่วยเพื่อนบ้านดูแลบ้านเวลาพวกเขาไม่อยู่

แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้มันอาจจะทำให้เขารู้สึกดีได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป มันจะไม่เพียงพอในการทำให้เขาได้รับรู้ความหมายของตนเอง

ณ จุดนี้ความดีของเขาจะยังคงอยู่เป็นเรื่องส่วนตัวอยู่ ซึ่งตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มันจะไม่เพียงพอในการขจัดความกังขาในการกระทำของตัวเองไปได้อย่างหมดสิ้น   

สิ่งที่ฉันทำอยู่นี่มันใช่หนทางที่ถูกต้องไหม? ฉันจะสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่า?

อะไรบ้างที่จะทำให้ชีวิตของฉันมีความหมาย?”

                …เขาจะเอ่ยถาม

และเขาจะเริ่มมองหาหลักการต่างๆที่มีอยู่อยากหลากหลายในโลกไปนี้ โดยส่วนใหญ่มันจะเป็นหลักการที่สังคมรอบๆตัวเขาให้ความยอมรับอยู่แล้ว ณ จุดนี้เองที่ความถูกต้อง ในโลกของเขา จะเริ่มมีความสัมพันธ์กับความถูกต้องใน โลกภายนอก

ปรัชญาการเมือง ศาสนา อุดมการณ์ หลักคิด จะเริ่มมีผลกับความดีในชีวิตของเขา

ความสงสัย จะเริ่มถูกแทนที่ด้วยศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน และความหวาดกลัวจะถูกผลักไสด้วยการกระทำที่ไม่ถูกฉุดรั้งด้วยความลังเล

                มาถึงจุดนี้ หากว่าความถูกต้องของเขายังคงเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่

                …เขาก็จะยอมรับได้ ว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้น มีไว้เพื่อตัวเขาเพียงคนเดียว และนั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้โลกของเขามีความหมาย

                …เขาก็จะมองเห็น ว่า คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้าหาความหมายดังเช่นที่เขาทำ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการที่เหมือนกันหรือไม่

                แต่ทว่า การกระทำเช่นนั้น มันก็เท่ากับเป็นการยอมรับ ว่าความเชื่อของเขานั้น อาจจะไม่ใช้หนทางอันชอบธรรมหนทางเดียวในจักรวาลนี้ก็ได้ และนั่นเท่ากับเป็นการผลักตัวเขาเองกลับไปยังจุดที่เขาเริ่มต้นอีกครั้ง จุดที่เต็มไปด้วยความกังขาและความไม่มั่นคง

                ซึ่งแน่นอน ว่าหากว่า ความดี ของเขา เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดมาจากตัวเขาเอง ไม่มีผู้ใดได้เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการ สิ่งเหล่านี้ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่เขาจำต้องรู้สึก

                แต่นี่ก็คือสิ่งที่จำต้องเกิด เมื่อเขาปล่อยให้ศีลธรรมสาธารณะเข้ามาครอบงำการค้นหาความหมายของชีวิตเขา

                และมันเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่แทบจะทุกครั้งไป ความมั่นคงทางศรัทราอันเกิดจากหลักการที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วนั้น มักจะมีข้อผูกมัดที่ว่าด้วยสภาวะของโลกที่ควรจะเป็นตามติดมาด้วยเสมอ

                นายทุนต้องสูญสิ้น… พระเยซูคือหนทางเดียวในการเข้าใกล้พระเจ้า… ชาวยิวเป็นกาฝากสังคม 

               

เสื้อสีแดง… หรือเสื้อสีเหลือง…

 

เพียงเพราะเราทุกคน ต่างต้องการความหมายมาเติมเต็มจิตวิญญาณ ต้องการเสียงกระซิบจากเบื้องบนมาบอกว่าตัวเรานั้นคือความชอบธรรม

                การต่อสู้เพื่อศรัทธา เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในสังคมมนุษย์ และก็คงจะเกิดอีกเป็นพันๆครั้งหลังจากนี้ต่อไป               

                ทั้งหมดนี้ เป็นประวัติศาสตร์ที่แสนเศร้า เพราะจริงๆแล้ว เรื่องราวแห่งความเกลียดชังทั้งหมดนี้สามารถถูกหลีกเลี่ยงได้ หากมนุษย์ยินดีที่จะตั้งคำถามง่ายๆเพียงคำถามเดียวกับศีลธรรมสาธารณะทุกประเภทที่เราทุกคนช่วยกันคิดค้นขึ้นมา

                ทำไม…

                เพียงคำถามเดียว…

…เท่านั้นเอง

               

               

บางทีเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมด อาจจะไม่มีตรรกะนัก และอาจจะเกิดขึ้นในข้อกำหนดที่มากมายจนเกินความเป็นจริง บางทีศีลธรรมสาธารณะทั้งปวงก็อาจจะไม่ได้นำไปสู่ความเกลียดชังตามที่ได้กล่าวมาเสมอไป

                และบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าหากเราจะเริ่มต้นตั้งคำถามกับชีวิตจากหลักการหรือแนวคิดที่มีมาอยู่แล้วอยู่ก่อนหน้า

                แต่เราต้องไม่ลืม ว่าศรัทธาที่แข็งแรงและบริสุทธิ์นั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากว่าเราไม่ได้ตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เราได้ยินมา

                ความเชื่อที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือความเชื่อที่เกิดมาจากความกังขา ไม่ใช่ความเชื่อที่เกิดขึ้นมาเพียงเพื่อทำลายล้างความกังขาเหล่านั้น

                หากเราทำเช่นนั้นได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี

                หากเราสามารถยอมรับได้ว่า ความดี ที่เรายึดถือนั้น เป็นของเราคนเดียว และเพียงแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว

                มัน…

                ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี

  

             

 

February 28, 2009 Posted by | Catalyst | 6 Comments

ไม่ได้ up เสียนาน

ไม่ได้เข้ามาเช็คตั้งนานด้วยนิ คนหายไปไหนหมดล่ะนี่ หรือว่าเป็นนักเขียนจะขาลงแล้ว 55 (ดีครับ จะได้เป็นนักดนตรีขาขึ้น) ตอบตามใจออกเดือนมีนานี้นะครับ ใครจะถามก็รีบถามเน่อ จะจบคอลัมน์แล้ว ใครสนใจก็ไปเจอกันที่งานหนังสือนะครับผม ปลายเดือนมีนา บู๊ทอมรินทร์ ที่เดิม

ป.ล. ยินดีกับน้องมายด้วยเน่อที่สอบติด โชคดีครับ

Catalyst 15

เดี่ยว

ปรัชญามากมายที่พยายามเป็นตัวแทนของการแสวงหาคำตอบ

ความเปลี่ยวเหงาที่ไม่เคยจบสิ้นของผู้คน

ความเอ่อล้นของสิ่งว่างเปล่าในชีวิต…

สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากหนึ่งคำถาม…

…หากแต่ใช่คำตอบของคำถามเดียวกันนั้นไม่

เราเป็นใคร”

คำถามอมตะที่อยู่คู่กับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย  มันถูกเอ่ยถามบ่อยจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่แสนจำเจ

แต่ถึงแม้จะถูกพูดบ่อยเท่าไหร่ ความลึกซึ้งของประโยคคำถามสามพยางค์นี้ก็ไม่ได้ลดหย่อนลงไปตามจำนวนการใช้ที่มากมายมหาศาลของมัน …

…อย่างน้อยก็ในสายตาของมนุษย์

ในทางตรงกันข้าม ยุคสมัยยิ่งเลยผ่าน ยิ่งเราถามคำถามนี้มากขึ้นเท่าไหร่ กลับกลายเป็นเหมือนว่าเราจะยิ่งถูกสายลมเบาๆ พัดพาออกไป ให้ค่อยๆลอยห่างจากคำตอบที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น

เรารู้จักตัวเองมากแต่ไหน

หากไม่ใช้เรา…

…แล้วใครเล่า จะเข้าใจ

ในฐานะมนุษย์หนึ่งคน ผมใช้ชีวิตรวมหมู่ดังเช่นที่ทุกๆคนทำ ในหลังคาที่ผมอาศัย มีมนุษย์คนอื่นอาศัยอยู่ด้วย ในถนนที่ผมเดิน ก็มีผู้คนย่ำก้าวเดินสวนทางมา และในที่ที่ผมทำงาน ก็มีอีกหลายๆคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ล่ะวัน ทำหลายๆสิ่งที่คล้ายคลึงกันกับตัวผม

เส้นทางของเราล้วนแล้วแต่เชื่อมต่อกัน หรือเราอาจจะกล่าวได้ว่าคนเรานั้นไม่เคยถูกออกแบบมาให้แบ่งแยกออกจากกันและกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว  องเรา่คล้ายคลึงกันกับผมคลึงกัน ด้แตกต่างกันมากนัก

แต่ถึงแม้กระนั้น ความเปลี่ยวเหงากลับไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมสำหรับคนทุกคน หลายครั้งที่เราต้องนั่งอ้างว้างเดียวดาย รู้สึกเหมือนเศษธุลีของจักรวาลที่กำลังค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา

ความรู้สึกนี้ไม่เคยหายไปไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเท่าไร

ความเหงาเป็นตัวแปรคงที่ในสมการของชีวิตคน

และความจริงข้อนี้ที่ผมสังเกตเห็น ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้

“ทำไม…”

ความอยากทางเพศ… เรายังพอเข้าใจได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะสัญชาตญาณในการสืบพันธ์

ความตาย.. ก็ยังสามารถเข้าใจ ว่ามันคือการควบคุมพลวัตรของทุกสรรพสิ่งในโลก

หรือแม้แต่ความรัก …หากมันจำเป็นจะต้องมีเหตุผล เหตุผลนั้นก็คงจะไม่ได้แตกต่างจากความอยากทางเพศไปมากนัก

หากแต่ความเหงา…

หากมีสิ่งที่ใกล้เคียงกับพระเจ้าอยู่จริง…

…ทำไมนะ คนเราถึงถูกออกแบบมาให้อยู่กับมัน

ในหลังคาที่ผมอาศัย มีมนุษย์คนอื่นอาศัยอยู่ด้วย…

ผมอยู่กับแม่ พี่ชาย และแม่บ้านอีกสองคน ตามปกติของทุกครอบครัว เรารักกัน เราห่วงใยซึ่งกันและกัน และเราพูดคุยกันเป็นปกติ แม่ของผมเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ของคนทุกคนในบ้านมาก แม่จะพยายามอย่างสม่ำเสมอที่จะส่งเสริมให้ทุกคนในบ้านใช้ชีวิตร่วมกันให้สมเป็น “ครอบครัว” เดียวกัน มีกิจกรรมร่วมกัน เอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน ขณะที่พี่ชายของผมก็เป็นคนสนุกสนาน เป็นที่ชอบพอของคนทุกคนที่รู้จักเขา พี่แม่บ้านทั้งสองคนก็เป็นคนดี คอยดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ และเป็นคนที่เชื่อใจได้

บ้านของผมเป็นบ้านที่ดี

…แต่ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง

ผมกลับรู้สึกได้ว่าทุกคนในบ้านนี้กลับไม่เคยหยุดรู้สึกอ้างว้าง

ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แม่และพี่ชายผมมีความสุข ผมไม่รู้ว่าพวกเค้าต้องการอะไรในชีวิต ผมไม่รู้ว่าพี่แม่บ้านทั้งสองคนเขาทำอะไรกันบ้างในยามที่ไม่ได้ทำงานบ้าน ผมดูไม่ออกว่าวันไหนที่ครอบครัวของผมกำลังกลุ้มใจ และผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำให้พวกเขาได้คืออะไร

ได้หลังคาเดียวกันที่เราอยู่ร่วม บางครั้งเรากลับเหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน

และหากลองมองในทางกลับกัน สำหรับพวกเขา ตัวผมเองก็อาจจะเป็นคนแปลกหน้าในบางเวลา

ผมไม่เคยเรียนรู้ที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง ไม่เคยเดินไปบอกใครให้หันมามองตอนที่ผมกำลังทุกข์ทรมาร ไม่เคยเล่าให้คนอื่นฟังว่าจริงๆแล้วผมชอบทำอะไร หรือว่าผมมีความสุขกับสิ่งไหนเป็นพิเศษ

หากความเหงาคือการต้องอยู่เดียวดาย แล้วเหตุใดเล่าผมจึงยังคงรู้สึกมันอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าผมจะมีครอบครัวที่ดีขนาดนี้อยู่รอบกายแล้วก็ตาม

เหตุผล…

ข้อสรุปเดียวที่ผมพอจะเข้าใจได้ คือความเหงานั้นคงที่ เป็นสิ่งที่อยู่กับเราโดยธรรมชาติ คนเราเหงาตลอดเวลาและตลอดไป เราจะทำได้ก็เพียงแต่สร้างสถานการณ์สมมุติที่เราเชื่อว่าเราจะสามารถบรรเทาความอ้างว้างเดียวดายได้

เรากอดกันเพียงเพื่อให้ได้รู้สึกอยู่ใกล้

เราเล่าเรื่องของตัวเราให้คนอื่นรับรู้ หวังว่าคนรอบข้างจะได้รู้จักตัวตนจริงๆของเรา

แต่ท้ายสุดแล้ว ความอ้างว้างไม่เคยเลือนหายไปจากจิตใจของเรา

หากการอยู่คนเดียวไม่ได้เป็นต้นเหตุแห่งความอ้างว้างแล้ว บางทีเราอาจจะต้องทำความเข้าใจปัจจัยแห่งความเหงาเสียใหม่ เพียงเพื่อเรียนรู้ที่จะสามารถอยู่กับมันได้

บางทีความเหงานั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากความขาดแคลนของความสัมพันธ์ บางทีความเหงาอาจจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการหาสิ่งอื่นมาเพิ่มเติม ในทางตรงกันข้าม ความเหงาอาจจะเกิดจากหลุมดำขนาดใหญ่ที่ดำรงอยู่ในตัวเรามาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วก็เป็นได้

เราเป็นใคร”

คำถามที่แสนจะจำเจ …

คำถามที่น้อยคนนักที่จะกล้าพูดว่ารู้คำตอบอยู่ในใจ

การส่องกระจกทุกวันไม่ได้ช่วยให้คนเรารู้จักตัวเองมากขึ้น รูปลักษณ์ที่ส่องสะท้อนอยู่บนเรือนกระจกนั้น หากนับดูแล้วคงไม่เท่ากับหนึ่งในพันของสิ่งที่เราเป็น การที่ตัวตนของคนเราจะสามารถ “เต็ม” จริงๆได้นั้น เราคงจะต้องใช้อะไรที่ลึกซึ้งกว่ากระจกหนึ่งบานอยู่มากโข

แต่มนุษย์เราก็ไม่สามารถหยุดยั้งความอยากที่จะค้าหาความหมายให้กับตัวเอง ความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่สมบูรณ์ปากกว่าสัตว์เดินสองเท้าที่เกิดมา แล้วก็ตายจากไป

บางคนวิ่งหา “มิตร” เพื่อหาเงาสะท้อนของตัวเองในสายตาของผู้อื่น บ้างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อระบุตัวเองกับแนวคิดหรือปรัชญาที่จับต้องได้ยาก

แต่ไม่ทางเลยที่คนอื่นจะสามารถรู้จักตัวตนจริงๆของเรา และบอกเราได้ว่าเราเป็นใคร

เราวิ่งเข้าหากัน เพียงเพราะเรา “เหงา”

เราหวังว่าผู้อื่นจะสามารถเชื่อมต่อกับเรา และบอกเราได้ว่าอะไรที่มันขาดไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเหงาไม่ใช่สิ่งที่แก้ได้ด้วยสัมผัส หรือว่าคำพูดของผู้อื่น

ใช่หรือไม่ …คนเราเหงาเพราะว่าเรากำลังวิ่งหาตัวเอง

เราเหงา… เพราะว่าเรารู้สึกแปลกแยกกับชีวิตที่เราใช้สอยอยู่ตลอดเวลา

เราเหงา… เพราะหลุมดำในจิตใจ ที่ไม่มีใครสามารถมาเติมเต็มได้นอกจากตัวเราเอง

แต่ที่แน่แท้… การเสาะหาเสี้ยววิญญาณที่ขาดหายไปนั้นเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น มันเป็นการเดินทางภายในที่เรารู้แต่จุดหมาย แต่สิ่งที่ขาดหายก็คือจุดเริ่มต้น

ผมก็เป็นหนึ่งในหลายๆคน ที่เลือกทางสะดวก เลือกที่จะไขว่คว้าหาไออุ่นจากเพื่อนมนุษย์ในทุกเวลาที่รู้สึกเคว้งคว้างโดดเดี่ยว หากแต่ในจิตใจนั้นกลับรู้ดีว่าสิ่งที่รออยู่ก็คือความเดียวดายอย่างไม่รู้จบสิ้นเมื่อผมเดินออกมาจากฝูงชน

ทุกวันนี้ เราพูดคุยกันตลอดเวลา เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายที่แสนสะดวกสบาย

เราเพิ่มจำนวนขึ้น อยู่กันอย่างแออัด จนทำให้เราแทบจะไม่ได้อยู่คนเดียว

ทุกวันนี้ มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่แนบชิดกัน

หากแต่ความอ้างว้างนั้นกลับทวีคูณ

และเรายังคงใฝ่หา “ผู้อื่น” มาบำบัดความเหงานั้นอยู่เช่นเดิม

ค่อยๆแสร้งทำเป็นหลงลืม …

…ช่องว่างที่อยู่กลางจิตวิญญาณ

January 31, 2009 Posted by | Catalyst | , , , , | 16 Comments

สามัญ

ทำไมรูปปกใบไม้แดงมันกลายเป็นรูปหนังสือกุ๊กกิ๊กวะ…

 

Catalyst 14

สามัญ

 

เรื่อยมา…
หนึ่งห้วงเวลาแห่งชีวิต
มนุษย์วิ่งเข้าหามัน เพียงเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่เรา “ควร” จะเป็น
แต่สิ่งที่น่าฉงนก็คือ …ความสามัญนั้นก็กลับกลายเป็นสิ่งที่เราไม่อยากเป็นมากที่สุดไปด้วย
…และก่อนที่เราจะรู้ตัว
เวลาก็หมดลง
เราทุกคนก็จะเลิกไขว่ขว้า
หลับตาลง …
…กลายเป็นซากศพธรรมดาๆ

มันมีอะไรที่ไม่ปรกติอยู่ในความธรรมดา
บางครั้งเราเลือกที่จะใช้มันเป็นเกราะกำบังจากความกลวงเปล่าที่อยู่ข้างใน แต่บางครั้งเราก็โยนมันทิ้งไปเพียงเพื่อบำรุงภาพร่างแห่งอัตตา
บางเวลา เราปลอบใจตัวเองด้วยความรู้สึกว่าเรานั้นปกติ หากแต่ในบางเวลา…ปัจจัยแห่งความสามัญที่ดำรงอยู่ในวิญญาณของเรานั้นก็เป็นเหมือนคำด่าทอที่ตอกย้ำให้เรารู้สึกต่ำต้อยยิ่งกว่าสิ่งปฏิกูลชนิดไหนๆ
ไม่มีใครอยาก”ถูกมอง”ว่าธรรมดา แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากจะ “ผิดปกติ”
เหตุใดกันหนอ ทุกครั้งที่เรามองลึกลงไปในแก่นของวงจรเวลาที่เราได้รับมาในโลกใบนี้ แล้วเรามักจะเจอแต่ปัจจัยที่ฟังดูเหมือนเรื่องตลกไร้สาระทุกครั้งไป
เราต้องการชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ เป็นธรรมดาของคนทุกคน
…แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆ
“การยอมรับ” และ “ความแตกต่าง” คือสิ่งที่ทุกคนอยากมี
…แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆ

มองมุมหนึ่ง บางทีเราอาจล้วนแตกต่าง ทุกๆคนล้วนแล้วแต่เป็นปัจเจกที่ไม่มีใครเหมือนกันในจักรวาล
หากแต่มองอีกมุม เราอาจจะคล้ายคลึงกันเกินแยกแยะ เป็นเพียงเสี้ยวเศษหนึ่งของสิ่งที่เราไม่มีทางเข้าใจ
ความเป็นไปได้มีทั้งสองทาง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ในสายตาของจักรวาลนั้น ความแตกต่างของพวกเราคงจะมีน้อยเกินแยกแยะ หากแต่ในโลกของปัจเจกบุคคลที่มีแต่ตัวเราดำรงอยู่ สายตาของเราก็คงจะแยกตัวตนของตัวเราเองออกจากทุกๆคนที่เหลืออย่างชัดเจน

ทำไมเราถึงต้องการความธรรมดา?
ในการทำความเข้าใจคำถามนี้ บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ที่จะลองมองย้อนกลับมาอีกคำถามหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรที่เรากำลังค้นคว้าอยู่ ณ ตอนนี้
อะไรคือความธรรมดา…
แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นนามธรรม เช่นนั้นแล้ว มันอาจจะไม่มีประโยชน์มากนักที่จะมานั่งถกกันถึงความเป็นไปได้ที่เราจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของความธรรมดาในเชิงปฏิบัติ หากแต่จุดที่น่าสนใจจริงๆของความธรรมดาก็คือตรงที่ความธรรมดานั้นเป็นนามธรรมเชิงเปรียบเทียบ

เฉกเช่นเดียวกับทุกสิ่งในจักรวาลที่ดำรงอยู่ได้เพราะว่ามีขั้วตรงข้าม
ธรรมดาเกิดขึ้นได้ ก็เพราะความไม่ธรรมดา

สิ่งนี้เริ่มต้นจากธรรมชาติของมนุษย์ที่เพ่งมองสรรพสิ่งในเชิงเทียบเคียงอย่างสม่ำเสมอ
สูง ต่ำ มืด สว่าง
ใช่ไม่ใช่ว่าเรานั่งจ้องมองสิ่งที่คนอื่นทำตลอดเวลา ใช่ไม่ใช่ว่าเรานั่งนับจำนวนผู้คนที่มีพฤติกรรมเหมือนๆกันโดยไม่รู้ตัว และเลือกที่จะปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไขดังต้องมนต์สะกด
ทำไมเราถึงต้องเดินข้ามธรณีประตูของวัด และทำไมการเหยียบมันถึงเป็นสิ่งที่ไม่พรึงกระทำ ทำไมพยางค์ที่สามในวรรคที่สองของกลอนแปด ถึงต้องสัมพันธ์กับพยางค์สุดท้ายของวรรคแรก ทำไมการใส่สูทถึงเป็นสิ่งที่สุภาพกว่าการใส่เสื้อยืด
เหตุใดผู้หญิงถึงไม่ควรสูบบุหรี่
เหตุใดจึงคนทุกคนถึงควรมีงานทำ
สิ่งเหล่านี้คือความธรรมดา… เช่นนั้นหรือ?

บางทีมันอาจจะไร้ประโยชน์ในระดับพอสมควรที่จะมานั่งถามคำถามเหล่านี้ หรืออาจเป็นได้ที่การตั้งคำถามนี้ก็เป็นเรื่องที่ผิดปกติในตัวของมันเองอยู่แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะเทียบเคียงสัจจะได้ก็คือ มีคนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นที่รู้ความหมายที่แท้จริงของบรรทัดฐานทุกข้อที่เพิ่งกล่าวมา ส่วนพวกเราส่วนใหญ่ที่เหลือนั้นอาจจะไม่เคยนึกเสียด้วยซ้ำว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะมีเหตุผลในตัวของมันเองอยู่
ถึงแม้เป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็ยังคงโอบกอดข้อกำหนดเหล่านี้ไว้อย่างเหนียวแน่น เหมือนกับว่ามันเป็นบางสิ่งที่เราไม่สามารถมีชีวิตโดยปราศจากได้
ทำไม…?
ก็ยังคงเป็นคำถามนี้เช่นเดิม

แล้วเหตุใดเล่า คนเราถึงต้องหวาดกลัวความสามัญ
ทั้งๆที่หมดชีวิตเราขยาดความแปลกแยก หากแต่ขณะเดียวกันเราก็หวาดกลัวที่จะตายโดยไม่แตกต่าง
มันเหมือนกับการต่อสู้ระหว่างอัตตาและสัญชาตญาณทางสังคม
สุดท้ายคนเราก็ได้แต่ไขว่คว้าหาสิ่งที่เราไม่ต้องการที่สุดมาสวมวิญญาณตัวเอง
บางคนสวมเสื้อสีต่างๆ เพียงเพื่อให้รับรู้ได้ว่าความหมายนั้นได้มาเยือนชีวิตของตน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขาไม่ต้องสวมเสื้อสีเดียวกับทุกคนก็ได้
บางคนเลือกประดับประดาอัตตาด้วยยศถาบารมี
ทั้งๆที่คนที่รักและเคารพเขาจริงๆ ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าเขามีตำแหน่งอะไร

…เอาเข้าจริงๆแล้ว แม้แต่ตัวผมเองที่กำลังพูดเหมือนกับว่ามองทุละสัจจะชีวิตในทุกชั้นเชิง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ผมก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากทุกสิ่งที่ผมวิจารณ์ไปมากนัก
เหตุผล…
..เพียงเพราะผมเป็นคน…
เช่นนั้นหรือ?

ความทุกข์ที่เกิดจากการไล่ล่าและหลีกหนีความสามัญนั้นช่างแยบยลและน่าสะพรึงกลัวในรูปแบบที่อธิบายยาก
บางครั้งเราร้องไห้แทบเป็นแทบตายอยู่ภายใน แต่น้ำตากลับไม่ไหลสักหยด เพียงเพราะเราเชื่อว่าเรื่องที่เราทุกข์อยู่นั้นมันช่าง “แสนธรรมดา” และเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นทุกวัน ทุกวินาที ด้วยเหตุเพียงเพราะว่าเรา “มีชีวิต”
โอกาสในการหลุดพ้น หรือว่าเริ่มต้นใหม่นั้น อยู่ในอันดับต้นๆของความปรารถนาสูงสุดของคนแทบจะทุกคน
แม้แต่คนบ้า ก็ยังอยากเป็นที่ยอมรับ
แม้แต่คนที่อยู่สูงที่สุด ก็ยังคงหวาดกลัวการเลือนหายไปตามกาลเวลา
แต่โอกาสนั้นไม่เคยมา
ได้แต่รอเวลา
ที่จะหลับตาลง …เหมือนกับคนทุกคน

December 25, 2008 Posted by | Uncategorized | , , , , | 10 Comments